วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ณ ปาย รีสอร์ท

ข้อมูลโรงแรม - ณ ปาย รีสอร์ทณ ปาย รีสอร์ท รีสอร์ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ รายล้อมด้วยทุ่งนา ข้าว ที่รอต้อนรับผู้มาเยือนในช่วงฤดูหนาว ด้วยรวงข้าวสีทองสะท้อนแสง ยามแดดส่อง วาวระยับไปทั่วบรเวณเลยทีเดียว สร้างความตระการตาให้แก่ผู้พบเห็น และ พร้อมผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ด้วยห้องพักจำนวน 20 ห้องแบบบังกะโล ทั้งในแบบบ้านสไตล์ล้านนา (ไทยใหญ่) และบังกะโล(ไม้ไผ่) รีสอร์ทมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น แค้มป์ไฟ พร้อมกิจกรรม ต่าง ๆ ยามค่ำคืน หรือจะเดินทางท่องเที่ยวชมธรรมชาติยามเช้าช่วงเวลากลางวันได้โดยรอบเมืองปาย
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก

  • พัดลม
  • เครื่องปรับอากาศ
  • ทีวี
  • กระติกน้ำร้อน
  • เครื่องทำน้ำอุ่น
  • ชุดอุปกรณอาบน้ำ
  • ระเบียงชมวิว
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ทสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม
  • พนักงานต้อนรับ
  • ห้องอาหาร
  • จักรยานเสือภูเขา
  • ลานกิจกรรม
  • ร้านขายของเบ็ดเตล็ด
  • นวดแผนไทย
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
ห้องพัก - ณ ปาย รีสอร์ท

สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท

สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
สิ่งอำนวยความสะดวก - ณ ปาย รีสอร์ท
ภาพถ่าย - ณ ปาย รีสอร์ทสถานที่ตั้ง : ตำบล แม่นาเติง

ณ ปาย รีสอร์ท รีสอร์ทติดริมแม่น้ำ และแวดล้อมด้วยภูเขา ทุ่งหญ้า เรือสวนไร่นา ที่อยู่อยู่ในเขต อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีระระห่างจากเชียงใหม่ประมาณ 105 กิโลเมตร สามารถเดินทางได้สะดวกสบายทั้งท่านที่ขับไปเองหรือ ใช้บริการรถตู้จากเชียงใหม่ ก็สะดวกสบาย

แผนที่ - ณ ปาย รีสอร์ท

แผนที่ - ณ ปาย รีสอร์ท

ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท

ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท

ข้อมูลโรงแรม - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท

ห้องพัก - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ทแม่ฮ่องสอนริเวอร์ไซด์ สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำปายที่ รอต้อนรับคุณด้วยความด้วยความอบอุ่นของสายน้ำ และเราพร้อมบริการคุณด้วย ห้องพักที่แตกแต่ง แบบทันสมัย สะดวกสบายและแต่ละห้องสามารถมองเห็นวิวธรรมชาติ สัมผัสเสียงของสายน้ำ

ริ เวอร์เฮาส์ รีสอร์ท, แม่ฮ่องสอนเป็นรีสอร์ทระดับ 3 ดาว นำเสนอทิวทัศน์ริมสระว่ายน้ำและแม่น้ำกก ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมชั้นนำของจังหวัดเชียงราย ห้องพักทั้งหมดมาพร้อมอินเตอร์เน็ตไร้สายและบริการผลไม้สดทุกวัน อีกทั้งยังมีอาหารไทยและอาหารนานาชาติให้บริการที่ร้านอาหารธาราและพนักงาน ที่รอต้อนรับคุณและพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับทัวร์ต่างๆ

สิ่งอำนวยความสะดวก - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท แผนที่ - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ทห้องพักสแตนดาร์ด สามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน ซึ่งในยามเช้า ท่านจะได้เห็นไอหมอกเย็นสบายกับเสียงสายน้ำไหล ที่โรงแรม เรามีบรรยากาศของป่าเขาที่ยังไม่มีการบุกรุก ด้วยบรรยากาศของแม่น้ำที่ใสสะอาด

สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก

  • เครื่องปรับอากาศ
  • มินิบาร์

สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม
  • เครื่องปรับอากาศ
  • สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องจัดเลี้ยง สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องประชุม
  • แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
  • โทรศัพท์ระบบไอดีดี(ใช้ในการโทรทางไกลระหว่างประเทศ)
  • ซักรีด
  • ที่จอดรถ
  • สระว่ายน้ำ
  • ร้านอาหาร
  • รูมเซอร์วิส
  • โต๊ะจัดให้บริการกี่ยวกับการท่องเที่ยว
ภาพถ่าย - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท
ภาพถ่าย - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท
ภาพถ่าย - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท
ภาพถ่าย - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท
ภาพถ่าย - ริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท
ริเวอร์เฮาส์ รีสอร์ท ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกก โดยอยู่ห่างจากสนามบินเชียงรายประมาณ 7 กิโลเมตร อีกทั้งเดินทางเพียง 3 กิโลเมตรสู่ใจกลางเมือง นอกจากนี้ที่พักยังอยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่าเพียง 60 กิโลเมตร ส่วนสามเหลี่ยมทองคำและตำหนักดอยตุง รวมถึงดอยแม่สะลอง ก็ล้วนอยู่ใกล้ที่พัก

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ภูลังกา บนเส้นทางแห่งดวงดาวและสายหมอก

ภูลังกา เชียงราย
ภูลังกา เชียงรายบนเส้นทางแห่งสายลมที่พัดความหนาว เย็นมาจากหุบเขาเบื้องล่าง กับผืนฟ้าเริ่มสางที่ตีนฟ้ายกให้เห็นแรกอรุณ ในขณะที่ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงพราวพร่างระยิบ ดาวประจำเมืองยังคงสกาวอยู่ตรงที่สุดของฟ้าเหนือเทือกเขา ไม่นานนักทะเลหมอกเริ่มเผยให้เห็นความอลังการ หลังจากบ่มความงดงามไว้ภายใต้ความหนาวเย็นของฤดูกาล สีของเวลาขับผ่านไปอย่างเนิบช้า ริ้วหมอกบาง ๆ พลิ้วไปตามท่วงทำนอง และจังหวะแห่งความเคลื่อนไหว เรายืนให้เวลาล่วงผ่านไปพร้อมซึมซับความงดงามของธรรมชาติผ่านสายตาและ หัวใจ...

เมื่อ แสงแรกของวันเผยให้เห็นทะเลหมอกเบื้องล่างอย่างเต็มตา ความอลังการและงดงามนั้น คงไม่มีคำใดจะบรรยาย แต่อยากให้ไปเห็นด้วยกันที่สุดปลายทางแห่งผืนฟ้า...ภูลังกา
ภูลังกา เชียงราย
ภูลังกา เชียงรายนกปลีกล้วยลายโผเข้าจับปลีกล้วยป่าที่กำลังเผยให้เห็นดอก ก่อนจะสอดเรียวปากที่ยาวโค้งเข้าไปดูดน้ำหวานภายในปลีดอก พร้อมกับหน้าผากที่แต้มเอาเกสรมาด้วย เมื่อมัวไปหาน้ำหวานในดอกต่อไป ก็จะช่วยให้การผสมเกสรเป็นไปอย่างที่ควร ผมนั่งมองนกตัวนี้โผบินอย่างเสรีในยามเช้า ที่สายฝนเพิ่งขาดเม็ดไปไม่นาน บนต้นไม้ใกล้กับระเบียงบ้าน นกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ห้อยหัวหาแมลงอย่างปราดเปรียว ไกลออกไป นกปรอดหัวสีเขม่า เกาะยอดไม้ไซ้ขนอาบแดดเช้าอย่างสบาย ๆ ก่อนจะขยับปีกออกบินเมื่อเสียงรถกระบะเคลื่อนเข้ามาใกล้

สมชาติ พวงพะยอม หัวหน้าวนอุทยานภูลังกา ลงมาจากรถคันนั้น หลังจากที่เราทักทายกันพอสมควร เรามีแผนการสำรวจ วนอุทยานภูลังกา รวมถึงการเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านของชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ในปริมาณนี้ด้วย และหลังจากอาหารเช้าอันแสนอร่อยผ่านไป เราจึงเดินไปแบกสัมภาระขึ้นบนท้ายรถกระบะคันเก่ง เพื่อขับไปจอดไว้ยังปลายสุดเส้นทางลาดยาง ที่ต่อจากนั้นเราจะเดินเท้าขึ้นไปยังยอดภูลังกากัน
ภูลังกา เชียงรายจากจุดจอดรถ ทางดินแดงทอดตัวเข้าไปในผืนป่าเขียวเข้มซึ่งห่มคลุมไว้ด้วยผืนหมอก ขึ้นเนินมาได้ไม่กี่สิบเมตรเราก็ได้เจอกับ กล้วยไม้กินซากดอกสีเหลือง กำลังชูช่อส่งดอกขึ้นคลอเคลียอากาศดูงดงาม กล้วยไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เอื้องแฝงภู (Aphillorchismontana) สำหรับกล้วยไม้กินซากนั้น ทางวิชาการจัดให้เป็นพืชในกลุ่ม Mycoheterotrophic ซึ่งหมายถึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตต่างกลุ่มกัน เช่น พืชและรา โดยจะเป็นพืชที่พึ่งราแบบพาราไซต์ หรือราที่อาศัยอยู่ในรากของพืช ซึ่งพืชจะได้รับสารอาหารจากการที่ราย่อยอินทรียวัตถุในบริเวณนั้น ที่สำคัญ พืชและราต้องเป็นคู่ที่จำเพาะเจาะจงเท่านั้น และนั่นคงเป็นการพึ่งพาผูกพันของสรรพชีวิต ในธรรมชาติที่สุดแสนวิเศษของสิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ เราอาจจะเป็นได้เพียงผู้สังเกตหรือเฝ้ามองธรรมชาติเท่านั้นเอง และในบางความหมาย เราคงไม่อาจเข้าใจพวกเขาได้อย่างแท้จริง เหมือนในบางราวที่ตัวเราเองยังไม่อาจทำความเข้าใจตัวเองได้ทั้งหมด

ตามเส้นทางเดินที่มุ่งสู่เบื้องหน้า เรายังคงพบกับกล้วยไม้ชนิดนี้อีกหลายสิบต้น และในบางบริเวณก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์ ความงดงามของบางชีวิตที่กำเนิดในช่วงฤดูฝน มีให้เห็นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ต่อปีเท่านั้น และนั่นก็เป็นเหมือนเกราะคุ้มครองความหมายอันซ่อนเร้น ภายใต้เม็ดน้ำที่รวมกลุ่มกันจนเป็นหมอกเหมย ช่วยปกคลุมให้ป่าดูลี้ลับและชวนค้นหา

มิตรภาพก็เช่นกัน อาจจะเลือนหายไปกับสายหมอก หรือจะแจ่มชัดภายใต้สายหมอก ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของแต่ละคนที่ส่งผ่านออกมาโอบอุ้มกันและกัน

ภูลังกา เชียงราย ลมแผ่ว ๆ กับความขึ้นและความหนาวเย็นส่งผ่านร่องหุบและสายห้วยมาคลุมทุกอณู ดอกเทียนดอย (Impatiens violaeflora) กลุ่ม ใหญ่ส่งสีม่วงสวยสุดของกลีบดอก ออกมาแบ่งบานและแบ่งปันความรู้สึกให้เต็มอิ่ม ในเวลาที่เหนื่อยล้า 2 ชั่วโมงแล้ว ที่เราผ่านเนินชันขึ้นมา การได้หยุดถ่ายภาพดอกไม้ แมลง หรือผืนป่าสวย ๆ ทำให้เราเดินกันอย่างสนุกสนาน หัวหน้าสมชาติเดินขึ้นแนะนำสมุนไพรต่าง ๆ พร้อมสรรพคุณให้เราได้รู้จักกันมากมาย ในที่สุดสิ่งที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงคือสายฝน ก็โปรยสายลงมาอย่างไม่ขาดเม็ด

เราวางกระเป๋าไว้ตรงขอนไม้บริเวณทางแยกก่อนจะตัดเข้าสู่ผืนป่า เพื่อไปยัง น้ำตกภูลังกา สาย หมอกยังคงห่มคลุมไปทุกตารางนิ้ว และขณะที่เรากำลังเดินลงไปตามความชันของหุบห้วย สายฝนห่าใหญ่ก็ถั่งโถมลงมา เรายืนคอยให้ฝนชาจนเปียกปอนไปหมด เพราะอุปกรณ์กันฝนได้นำไปกันกล้องเสียหมด ในที่สุดเราก็สามารถถ่ายภาพ น้ำตกภูลังกา มาได้ โดยใช้ผ้ากันฝนมาคลุมไว้ เพื่อไม่ให้กล้องและเลนส์ได้รับน้ำมากจนเกินพอดี และยามนี้ น้ำตกภูลังกา กำลังงดงามอย่างพอเหมาะเลยทีเดียว เพราะมีน้ำเต็มหน้าผาไหลชุ่มฉ่ำ ผสานกับสายหมอกที่ห่มคลุมอยู่เหนือผืนป่าดิบเขา นับได้ว่าเป็นความอ่อนหวานของธรรมชาติอย่างแท้จริง บางคราวการได้มองอะไรนิ่ง ๆ นาน ๆ ก็ทำให้เห็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นอีกหลายอย่าง ขอเพียงชีวิตไม่ฉาบฉวยจนเกินไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว

สายฝนและความชุ่มฉ่ำได้สร้างความขึ้นให้กับผืนป่า และสร้างชีวิตที่หลากหลายให้กำเนิดขึ้นในห้วงกาลนี้ ลูกไม้จากช่วงแล้งที่รอดจากการกัดแทะของสัตว์ต่าง ๆ มาแล้ว ก็พร้อมสำหรับการแตกหน่อช่อใบในยามที่ความขึ้นทำให้ดินไม่หมาดน้ำ เปลือกแข็งของลูกไม้เริ่มอ่อนนุ่มเมื่อถูกน้ำหุ้มและอ่อนยวบ จนสามารถแทงออกมาจากแกนกลางของเมล็ดได้ไม่ง่ายเลยที่หนึ่งชีวิตจะสามารถเติบ โตได้ในผืนป่ากว้าง หากเรามองเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่ดี การอยู่ร่วมกันแบบเบียดเบียนของธรรมชาติ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับให้ได้ด้วยเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดจะเสียไปทั้งหมด หรือเกิดมาเพื่อทำความเลวร้ายให้แผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว
ภูลังกา เชียงราย จาก น้ำตกภูลังกา เราเดินขึ้นมาตามทางอีกแค่ไม่กี่อึดใจ ก็เจอกับต้นไม้ขนาดใหญ่มากที่ไม่อาจต้านทานแรงลม ล้มลงอย่างที่ผมและใครที่เห็นต่างบอกว่าไม่น่าจะล้มเลย ต้นนี้คงอยู่เป็นเพื่อนฟ้ามานานเนิ่นแน่ ๆ ผมเดินไปสำรวจกล้วยไม้และพรรณไม้ต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนเรือนยอดสูงลิบจนเราต้องแหงนกันคอตั้งบ่า แต่ตอนนี้ลงมาอยู่บนพื้นดินให้เราได้ลองสอดส่องดู ในที่สุดก็เจอกับกล้วยไม้สีขาวขนาดเล็ก ที่อาจจะเป็นช่อสุดท้ายของฤดูกาลนี้แล้ว เนื่องจากกออื่น ๆ ได้ติดฝักไปหมดแล้ว ผมยืนมองดอกไม้ชนิดนี้ด้วยความสุขใจ ก่อนจะจัดการกางขาตั้งกล้องและติดเลนส์มาโคร เพื่อบันทึกภาพระยะใกล้เอาไว้ สำหรับกล้วยไม้เล็ก ๆ ดอกสีขาวที่เราเห็นอยู่นี้มีชื่อว่า เอื้องนิ่มน้อย (Eria globulifera)

บ่อย ครั้งที่เราใช้เวลาอย่างรวดเร็ว และเร่งรีบกับการเพียงไปให้ถึงจุดหมาย โดยหลงลืมความหมายที่ซ่อนไว้สองข้างทาง คราวนี้การเดินเท้าไปอย่างช้า ๆ ภายใต้ร่มเงาและความชุ่มฉ่ำของผืนป่าทำให้ได้เห็นอะไรมากมาย ซึ่งนั่นเป็นการเติมเต็ม บางความหมายให้ชีวิตได้เป็นอย่างดี และคงอาจจะเป็นเช่นเดียวกับธรรมชาติในแต่ละฤดูกาล ที่ต่างเติมเต็มกันและกันด้วยบางความหมายเช่นกัน...
ภูลังกา เชียงรายบรรยากาศระหว่างทางเดินเท้าสู่ยอดภูลังกา ทำให้เราได้พบสิ่งต่าง ๆ ที่หลอมรวมกันเป็นผืนป่ามากมาย เราได้ความรู้จากการแลกเปลี่ยนกันของเพื่อนร่วมทาง หลังมื้อเที่ยวกันเองแบบง่าย ๆ กับอาหารที่เตรียมมา เราเดินกันต่อไปอีกราว 2 ชั่วโมง ก็ถึงบริเวณศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่ทางขึ้นยอดภูลังกา โดยจุดนี้เราจะใช้เป็นแหล่งพักกายในช่วงคืนนี้

"ผมว่าสายหมอกไหลอย่างนี้ ภาพเคลื่อนไหวถ่ายทอดออกมาได้สวยเลย" ยิ่งยศ จักรสาน เพื่อนผู้อ่อนไหวกับสรรพชีวิตบนผืนโลกมากกว่าตัวเองให้ความเห็น ก่อนจะหยิบกล้องคอมแพ็กต์ระดับสูงออกไปยืนบันทึกภาพเหล่านั้น เพราะเพื่อนผมคิดจะทำสารคดีสนุก ๆ สไตล์อินดี้สักเรื่อง เอาไว้ชมความเคลื่อนไหวและลื่นไหลไปตามองศาแห่งเวลา

แสง ตะวันยามบ่ายแก่ ๆ พอจะส่งอออกมาได้บ้างแล้ว ฝูงนกป่าบินเริงร่าออกมาตากปีกและหาอาหาร ผมยืนมองนกบินอย่างล่องลอย ไม่ต้องคิดว่าจะได้เห็นหรือได้ยินอะไร ได้แต่มองตามที่ใจคิด มองความเลื่อนไหวของปลายปีก ผมไม่มีคำถามหรือคำตอบแทนสิ่งมีชีวิตที่กำลังไปเหมือนไร้ทิศทาง มีแต่คำตอบให้กับความสุขของตัวเองในเวลานี้เท่านั้น ซึ่งเพียงเท่านี้ก็คงจะพอแล้ว สำหรับในบางเสี้ยวของเวลา

"สมัย ก่อนชาวเขาเผ่าเย้ามาทำไร่ฝิ่นอยู่ด้านหลังดอยนี้ พอช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ ก็จะมีแสงส่องออกมาจากยอดดอย จึงรวมตัวกันขึ้นมาดูว่าเกิดจากอะไร พอขึ้นมาถึงยอดดอยก็เห็นว่ามีแท่นหินขนาดใหญ่อยู่ จึงเชื่อกันว่าบนดอยแห่งนี้เป็นที่อยู่ของ ฟินจาเบาะ หรือ เทวดา เลยเรียกกันว่า ภูเทวดา สุดท้ายก็เพี้ยนกันมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็น ภูลังกา อย่างในปัจจุบัน" หัวหน้าสมชาติ บอกเล่าเรื่องราวที่มาของชื่อเทือกดอยแห่งนี้ให้เราฟัง หลังจากดื่มชาเจียวกู้หลานร้อน ๆ พอให้ร่างกายสดชื่นเรียบร้อย
ภูลังกา เชียงราย ช่วงเย็นวันนี้ผมและคณะ จะออกเดินเท้าไปยังจุดสูงสุดของภูลังกา เพื่อไปรอชมแสงสุดท้ายของวันอย่างที่เคยขึ้นมา เมื่อคราวที่ลมหนาวยังคงอวลอยู่ในอากาศ ทว่าเพียงคิดก็หมดโอกาสแล้ว เพราะน้ำฟ้าได้ร่วงพรูมาอีกครั้ง ผมจึงเปลี่ยนแนวมานั่งมองธรรมชาตินิ่ง ๆ และพูดคุยกันระหว่างเพื่อน นานพอควรแล้วที่เราไม่ได้เดินด้วยกัน แต่ทุกความหมายระหว่างย่างก้าวที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เลือนไปกับเวลาที่ผ่านไปแต่ประการใด ความสุขของการเดินทางอาจจะได้รับมาจากหลายประเด็น และการได้เดินทางกับคนที่มีความละมุนละไมต่อธรรมชาติ ก็คือหนึ่งในนั้น

หลัง จากที่แสงสุดท้ายของวันหายไปจากฟากฟ้า พลากร บุญทาวงษ์ ช่างภาพที่มาช่วยมากกว่าการถ่ายภาพ ก็ส่งเสียงมาพร้อมกับยื่นจอกเล็ก ๆ ที่ก้นจอกมียาแก้หนาวต้มกลั่นจากข้าวเหนียวมาให้

"เดี๋ยวกินอาหารญี่ปุ่นกันเลยนะ น้ำเดือดแล้ว" ผมยกแก้วเทของเหลวเหล่านั้นหายวาบไปในลำคอ ความร้อนแรงของดีกรีคงไม่อาจจะประเมินได้ เพราะมันลงไปแทบทุกขดของลำไส้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ฝนหยุดหรืออบอุ่นได้มากไปกว่ามิตรภาพ...
ภูลังกา เชียงราย เราผ่านค่ำคืนที่ฟ้ารั่วมาได้อย่างไม่ลำบากนัก แม้จะมีฝนสาดเข้ามาบ้างก็ตาม ยามเช้าตรู่ของวันนี้ยังคงอวลไปด้วยน้ำหมอกที่ชุ่มฉ่ำ ผมลุกขึ้นมาต้มน้ำบนเตาแก๊สขนาดเล็กเพื่อชงกาแฟ ระหว่างรอน้ำเดือด ผมมองไปยังปลายเทือกดอย หมอกแผ่นหนาไหลคลอเคลียเทือกดอยจนดูคล้ายสายน้ำไหล ภาพนี้ผมเคยเก็บไว้พร้อมกับแสงสียามเช้าในวันหนาวของฤดูที่ผ่านมา วันนี้แม้ท้องฟ้าจะไม่มีสีสันตระการตา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความประทับใจลดน้อยลงแต่อย่างใด

เมล็ดกาแฟคั่วบดในซองใส่แบบซิปถูกเทลงในแก้วชงกาแฟแบบเพรส พอได้เวลาผมจึงรินออกมาแบ่งกันดื่ม กาแฟขมกลมกล่อม กลิ่นหอมกำลังดีในจอกสเตนเลสแบบมีหูจับ ทำให้สติฟื้นสมบูรณ์ขึ้น ผมยืนมองความเคลื่อนไหวที่มาตามร่องหุบและยอดดอย กาแฟหมดไปพักใหญ่แล้วหมอกหนาก็คลายลง ผมเดินเก็บภาพหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใยแมงมุม ยอดหญ้า และบนก้านชูสเปอร์ของมอสขนาดเล็กในบริเวณใกล้ ๆ ศาลาแปดเหลี่ยม เราพร้อมเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของภูลังกา หลังจากที่นกกลุ่มใหญ่เริ่มออกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และทิ้งให้น้ำค้างร่วงพรู

ผม หยุดถ่ายภาพกล้วยไม้ดินเล็ก ๆ อีกหลายชนิดระหว่างทางเดินขึ้นสู้ยอดดอย หญ้าที่เคยแห้งเหลืองในยามที่ดินหมาดน้ำ กลับมีชีวิตชีวาแตกใบคลุมทางไว้อย่างเสรี และไม่นานนักเราก็มายืนบนจุดสูงสุดที่มีแท่นเทวดา หรือ "ฟินจาเบาะ" เป็นจุดหมายให้เราได้รู้ความพิเศษของแดนดอยแห่งนี้ ที่คงไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่าอันอัศจรรย์ของชนเผ่าในละแวกนี้ แต่ความพิเศษ คือความงดงามกลมกลืนของผู้คนและผืนป่าที่พึ่งพาผูกพันกัน โดยมีการเชื่อมโยงกันระหว่างวนอุทยานภูลังกา ชาวบ้านผู้นำชุมชน โครงการหลวง ทำให้ผืนป่าเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคงเป็นต้นน้ำให้กับหลายหมู่บ้านในละแวกนี้
ภูลังกา เชียงราย
เรานั่งพักให้หมอกที่ลอยขึ้นมาจากหุบเขาห่อหุ้มร่างกายและหัวใจ "ไอ้ก้านเขียวตรงแท่นเทวดาน่ะ เค้าเรียกหอมชู มีที่เดียวเฉพาะตรงนี้ อย่างที่หัวหน้าบอกเมื่อวานไง" พี่หนุ่มน้อย เจ้าหน้าที่วนอุทยานภูลังกา ซึ่งขึ้นมากับเราชี้ให้ดูพืชชนิดหนึ่ง ที่เชื่อกันว่าพบเพียงจุดนี้เท่านั้น ในพื้นที่บริเวณนี้ลากยอดดอยเราเดินต่อไปยังลานหินล้านปี ซึ่งในเวลานี้ช่างแสนงดงาม เพราะบนก้อนหินเต็มไปด้วยสีชมพูหวานฉ่ำของดอกเทียนดอย และดอกสีขาวของตาเหินไหว รวมไปถึงมอสสีเขียวสดใสคล้ายกับปูพรมไว้บนก้อนหินก็มีปาน ยิ่งอยู่ภายได้ม่านหมอกด้วยแล้ว คล้ายจะทำให้ความงามเพิ่มขึ้นอีกมากนัก พวกเราช่วยถ่ายภาพกันหลายมุมตามใจต้องการ โดยแต่ละมุมก็ช่างอ่อนหวานยิ่งนัก สำหรับบริเวณนี้ หากมาในช่วงฤดูหนาวก็สามารถพบดอกไม้ต่าง ๆ สลับหมุนเวียนกันไป นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

หลายชั่วโมงที่เราสัมผัสความอ่อนหวานของดอกไม้บนดอยสูง และได้มีโอกาสเห็นนกกินปลีบางชนิดบินเข้ามาเกาะดูดน้ำหวานจาก ดอกข่าไฟ (Hedychiumcoccineum) พืชชนิดเดียวในสกุลนี้ที่มีสีแดงอมส้มตัดกับผืนป่าสีเขียวเข้มที่ห่มด้วยไอ หมอก และในยามนี้ มีพืชชนิดอื่นๆ ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) กำลังผลิตอกอยู่หลายชนิด หลายสกุล โดยดอกข่าไฟชนิดดังกล่าวดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าดอกไม้อื่น ๆ แม้ว่าจะแชมอยู่ท่ามกลางกอหญ้าคาหรือคงอ้อก็ตาม เราทยอยกันเดินกลับลงมาอย่างไม่เร่งรีบนัก แม้ว่าจะมีฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยปรายลงมาบ้างก็ตาม และเมื่อลงมาเก็บของที่ศาลาแปดเหลี่ยมเรียบร้อย เราก็เดินกันยาว ๆ ลงสู่ที่ทำการวนอุทยานฯ

ในระหว่างทาง บางคราวเราอาจจะหลงลืมหลาย ๆ สิ่งไปกับความเร่งรีบแห่งชีวิต การมองผ่านเลยหลายสิ่งบนเส้นทาง เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นั้น เป็นวูบหนึ่งที่เราคิดพลาดไป เนื่องจากว่าไม่มีอะไรในผืนป่าจะขาดความสำคัญไปเสียหมด ไม่มีใครที่เกิดมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้หรือผู้รับแต่เพียงด้านเดียว เพียงเราเปิดตา เปิดใจมองด้วยความนิ่งงามในหัวใจ เราอาจจะได้เห็นบางอย่างที่ไม่เคยได้พบเลยก็ว่าได้
บ่ายวันนี้เรากลับมาพักยังบริเวณที่ทำการวนอุทยานภูลังกาอีกครั้ง เมื่อลงมาถึงและเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ข้าวปลาอาหารก็พร้อมรอเราอยู่แล้วด้วยพ่อครัวมือเยี่ยมของที่นี่ กับข้าวเด็ด ๆ ที่มีนำเสนอกันพอเรียกน้ำย่อย ได้แก่ เบบี้ฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอย ไข่เจียวฟูกรอบนอกนุ่มใน ผักกาดจอกระดูกหมู และผัดพริกสดกับหมู หากได้กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ถือได้ว่าสุดใจเลยทีเดียว กับเวลาที่ผ่านมาค่อนวันโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง

"ผักนี่กรอบดีนะครับ ซื้อมาจากไหนครับ" ใครบางคนหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมตั้งคำถาม

"มา จากโครงการหลวง ตอนนี้กำลังส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกันอยู่ ไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะไปที่แปลงกัน ผมคุยกับชาวบ้าน และโครงการหลวงไว้แล้ว" หัวหน้าสมชาติ บอกกับงานแบบรวดเดียวจบ พร้อมกับนัดกันอีกครั้งตอนค่ำ ช่วงบ่ายนี้พักผ่อนกันตามสบาย ซึ่งผมได้เล็งปลีกล้วยใกล้ ๆ บ้านพักไว้แล้ว พร้อมกับดงไพรที่ติดรถมาด้วย ผมคิวด่าลองไปนั่งรอเล่น ๆ อาจจะได้ภาพสวย ๆ ของนกปลีกล้วยลายได้ ทว่า ตอนนี้อิ่มจนแทบปลดกระดุมกางเกงสีเขียวละ ฮาฮา

คืนนี้พวกเรานอนหลับกันไม่ดึกนัก แม้ว่า "ชุดเผา" ของหัวหน้าสมชาติ ซึ่งประกอบด้วยหมูสามชั้น ไส้หมู และมะเขือยาว ซึ่งนำมาหมักด้วยเครื่องปรุง ก่อนนำไปย่างด้วยถ่านอ่อน ๆ จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ความอ่อนเพลียของร่างกายก็ทำให้เราอ่อนล้าลงได้ถนัดใจ ผมตั้งกล้องถ่ายภาพดาวหมุนเหนือขุนเขาไว้ราว 40 นาที โดยหวังว่าฟิล์มม้วนนี้เมื่อล้างออกมาแล้ว จะมีรอยเดินทางของดวงดาวในห้วงเวลานั้นประทับอยู่ และอาจพบเจอบางความหมายที่ถูกซ่อนไว้ในนั้น

ของบางอย่างอาจจะเหมือนไกลเกินเอื้อม หรือไม่อาจแตะต้องได้ ทว่า มันอาจช่วยให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน พรุ่งนี้เราอาจจะเจอกับสิ่งนั้น แสงสว่างบนหนทางแห่งชีวิต...

"ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นปลูกเบบี้ฮ่องเต้ ทางโครงการหลวงเขาเข้ามาส่งเสริม ทางเราก็ลงทุนด้านโรงเรียน ปุ๋ย ยา แล้วก็ต้นอ่อนผลผลิตก็ขายให้โครงการหลวงนี่แหละ" สุธี แซ่เตียว ชาวม้งแห่งบ้านปางค่า เป็นผู้เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงสวนลิ้นจี่บางส่วน ให้เป็นโรงเรียนปลูกผัก ซึ่งก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย สำหรับโครงกรหลวงปังค่า ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอาชีพให้ชาวไทยภุเขา ซึ่งยังคงทำไร่เลื่อนลอยหรือปลูกพืชเสพติด มีอาชีพที่มั่นคงในการดำรงชีวิต โดยในช่วงแรกทางโครงการหลวงปังค่าเน้นไปในแนวทางของการศึกษา และทดลองปลูกพืช ผัก ผลไม้จากเขตอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟักทองยักษ์และอะโวคาโด ที่ให้ผลผลิตได้เป็นอย่างดี รวมถึงเน้นไปในแนวทางการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนให้ยั่งยืนอีกด้วย

"ปัจจุบัน นอกจากทางโครงการหลวงปังค่าจะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนแล้ว ก็ยังนำพืชผักต่าง ๆ มาส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้ โดยเราจะซื้อเข้ากลับไปจำหน่ายในร้านโครงการหลวง ตอนนี้มีหลายหมู่บ้านแล้วที่เข้าร่วมกับทางเรา" สมชาย กันหา เจ้าหน้าที่โครงการหลวงปังค่า ให้ข้อมูลกับนำอะโวคาโดสุกกำลังดีมาให้ลองชิม

"เป้าหมายหลักของโครงการหลวงคือสร้างอาชีพให้กับชาวเขา ลดการทำลายป่าและการโยกย้ายถิ่นฐาน นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดกลไกการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว" กรรณิการ์ กันหา เจ้าหน้าที่โครงการหลวงปังค่า เล่าถึงเป้าหมายหลักที่ทางโครงการหลวงกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

ผมอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของวิถีแห่งเกษตรกรรมมากนัก แต่ก็พอจะเห็นว่า ฤดูกาลยังคงเข้ามาเกี่ยวเนื่องกับผู้คนอย่างแน่นแฟ้น เพราะเมื่อความชื่นฉ่ำของฤดูกาลกำลังหมดไป ข้าวในนากำลังเริ่มเหลือง แสงของวันเริ่มหมดช้าลง อาจจะเป็นเพราะมันเดินทางไกลขึ้น หรือที่คนโบราณบอกว่ามันเดินอ้อมต้นข้าว เพื่อให้ข้าวได้แสงนาน ๆ จะได้สุกเร็ว ๆ คนปลูกข้าวทั้งบนภูเขาและที่ราบต่างรอคอยเวลานั้น เวลาของการเก็บเกี่ยวผลิตผลที่ฟูมฟักมาตลอดหลายเดือน เนื่องว่านี่คือต้นทุนชีวิตของปีหน้า เงินทองหรือกับข้าวไม่มีก็คงไม่หนักหนา เพราะว่าข้าวเปลือกในยุ้งยังเต็มเปี่ยม อย่างไรก็พอจะทำให้ชีวิตมีเรี่ยวแรงต่อสู้ จังหวะของชีวิตต่างไหลลื่นไปตามกระแสแห่งกาล ซึ่งโครงการหลวงเข้ามาเติมเต็มในหลายเรื่องราวด้วยกัน นี่แหละที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายเหมือนการปิดทองหลังพระ ที่ทำความดีโดยไม่ต้องอวดใคร
วันนี้เราลาจากโครงการหลวงและวนอุทยานภูลังกา ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝน เป้าหมายต่อไปของเราคือ ภูลังกา รีสอร์ท จุด พักผ่อนและชมทิวทัศน์ที่งดงามสุดบนถนนสายโรแมนติก รอยต่อระหว่างจังหวัดน่านและพะเยา ความทรงจำของวันอุ่นไอหนาว ที่คลอเคล้าสายหมอกในหุบเขาเบื้องล่างนั้น เป็นสิ่งที่คนเดินทางและถ่ายภาพต้องการจะพบเจอ เพราะนั่นเป็นเสมือนรางวัลที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วให้หัวใจได้โบยบิน...

เย็นนี้เรานั่งมองแท่งหินปูนเบื้องหน้าจากระเบียงบนบ้านพัก พร้อมจินตนาการแสนสุขถึงอรุณรุ่งและห้วงยามอันอ่อนหวาน เราแยกย้ายกันเข้าที่พักในช่วงหัวค่ำค่อนข้างเร็ว เนื่องว่าต้องการพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับวันใหม่ ซึ่งผมมีประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมกับการถ่ายภาพทะเลหมอกที่นี่ จำได้แม่นยำว่าคราวนั้นเราล่องภาคเหนือกันหลายวัน เพื่อนผมจากสงขลาขี่รถมอเตอร์ไซค์ สัญชาติอเมริกัน ฮาเลย์ เดวิดสัน ขึ้นมาสมทบกันที่นี่ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ แลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส กว่าจะแยกย้ายกันเข้านอนแสงเดือนฉายก็สว่างขึ้นเหนือทิวเขาใหญ่

เสียงนาฬิกาปลุกดังเบา ๆ จากโทรศัพท์เคลื่อนที่เรียกให้ผมลุกออกมาจากที่นอนและผ้าห่มนุ่มหนา ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวที่ประดับวิบวาวอยู่อย่างตระการตา ผมนำขาตั้งกล้องและกล้องพร้อมสายลั่นชัตเตอร์ขึ้นประกอบและค่อย ๆ โฟกัสอย่างช้า ๆ ก่อนจะเปิดโปรแกรมให้อยู่ในโหมด B เพื่อให้เราสามารถเก็บแสงได้นานอย่างที่ต้องการ ความงดงามของผืนทะเลหมอกเบื้องล่างเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อตีนฟ้ายก ผมยืนมองภาพที่เปลี่ยนไปตามกระแสธารแห่งเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง สายลมหนาวจากหุบเขาพัดผ่านเข้ามาเป็นระยะ

เสียงน้ำเดือดดังขึ้น หลังจากที่ผมปล่อยสายลั่นชัตเตอร์ เพื่อให้กล้องหยุดการบันทึกแสง จากนั้นจึงตรวจภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเมื่อสักครู่ แม้จะเป็นเพียงเส้นทางสั้น ๆ ของดวงดาวที่มาประดับไว้ในไฟล์ภาพ คู่กับผืนทะเลหมอกแน่น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความอิ่มใจ
แสงแรกเริ่ม ส่องผ่านทิวเขาทางตะวันออก เงาตะคุ่มดำของแท่งหินปูบริเวณบ้านห้วยเฟือง เห็นชัดเจนขึ้นจนดูคล้ายกับจะลอยอยู่เหนือท้องทะเลก็มิปาน จากการมองผ่านเลนส์เทเลโฟโต ผมเห็นสายหมอกเป็นริ้วเคลื่อนไหวไปอย่างเอื่อยช้า ตามความแผ่วของสายลมที่พัดพลิ้วอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง ผมยืนมองแสงยามเช้าที่เริ่มสาดแสงสีเหลืองทองลงบนผืนทะเลหมอกสีขาว ของธรรมชาติทำให้เราอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก

เรายังยืนอ้อยอิ่งอยู่บนระเบียงจุดชมวิวของภูลังกา รีสอร์ท จนสายหมอกเริ่มจางหายไปจากหุบเขาของบ้านห้วยเฟือง และภายใต้ผืนทะเลหมอกนั้น ยังมีสิ่งงดงามอีกมากมายนักที่ยังรอการเข้าไปเยี่ยมจากคนเดินทาง

เราตัดสินใจลาจากเส้นทางสุดแสนโรแมนติกแห่งนี้ หลังจากที่ได้คุยกันถึงพาสปอร์ที่ยาวที่สุดในโลกกับเจ้าของสถานที่ โดยหวังว่าหนาวนี้เราจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง หวังว่าคงได้เจอกันนะครับ บนเส้นทางแห่งสายหมอกและดวงดาวบนท้องฟ้า...
free counters